Sunday, September 11, 2011

อ่านละครทวิภพ ตอนที่ 16 วันที่ 11 กย.54


อ่านละครทวิภพ ตอนที่ 16 วันที่ 11 กย.54

ขณะกุลวรางค์จัดสำรับขึ้นโต๊ะอาหารโดยมีนุ่มคอยเป็นลูกมือ ไรวัตหาเรื่องกระเซ้าเย้าแหย่ตรองอย่างสนุกสนาน กุลวรางค์สงสัยสองหนุ่มเล่นอะไรกัน ไรวัตตอบหน้าตาเฉยว่าเล่นเรื่องแหวนเพชรที่ตรองพกมา กุลวรางค์งง ตรองพกแหวนเพชรมาทำไม ไรวัตอ้าปากจะบอกว่าเอามาให้กุลวรางค์ แต่ตรองพุ่งเข้าไปปิดปากเขาไว้เสียก่อน ขู่ไรวัตถ้าไม่หยุดพูดจะต่อยให้ปากแตก ไรวัตปัดมือตรองออก ขู่ตรองกลับ

“แกต่อยฉัน ฉันก็จะต่อยแกเหมือนกัน”

“ดี...งั้นฉันจะจูบแก...จะหยุดหรือไม่หยุด” ตรองท่าทางเอาจริง ไรวัตขยะแขยง รีบลุกหนี...

หลังกินมื้อกลางวันกันเสร็จ ไรวัตยังไม่ยอมรามือจากตรอง เดินไปค้นหาของบางอย่างในรถตัวเองให้ควั่ก เจอถุงใส่แหวนเพชรที่แม่ของเขาเพิ่งซื้อมาแล้วลืมทิ้งไว้ ไรวัตเปิดถุงออกดู เห็นกล่องใส่แหวนเพชรยังอยู่ เดินยิ้มเจ้าเล่ห์กลับเข้าบ้านตรงไปกระซิบกระซาบตรอง ตกลงไม่มีอะไรให้กุลวรางค์ใช่ไหม เพราะถ้าตรองไม่ให้เขาจะให้เอง แล้วเดินไปนั่งคุกเข่าตรงหน้ากุลวรางค์ ยื่นแหวนเพชรให้
“กุลครับ...แหวนเพชรนี่สำหรับคุณ”

ตรองยัวะสุดๆโดดต่อยหน้าไรวัตเปรี้ยง แล้วด่าซ้ำ “ไอ้คนเลว ไอ้คนหน้าด้าน แกรู้ว่าฉันจะให้แหวนคุณกุล แกก็เลยมาตัดหน้าให้แหวนเธอก่อน แกเห็นฉันชอบคุณกุล แกก็เลยจะแกล้งฉัน แกนี่มันเลวได้ใจจริงๆ”

“ให้แหวนฉัน...นายจะให้แหวนฉันหรือ ดร.” กุลวรางค์นิ่วหน้ามองตรอง

“ฮะๆๆๆไม่ใช่ให้แหวนเฉยๆ มันบอกว่ามันชอบกุลด้วย กุลได้ยินไหม...มันพูดหมดเลย ผมหลอกให้มันพูดออกมาจนได้” ไรวัตหัวเราะชอบใจที่แผนการสำเร็จ “รำคาญโว้ย รักกุลทำไมไม่บอกไปตรงๆ มัวอ้ำอึ้งอยู่ได้ เห็นแล้วมันรำคาญ ไอ้แหวน เนี่ยของแม่ แม่ฉันลืมไว้ในรถก็เลยเอามาจัดการกับแก ฮะฮ่า... วันนี้ได้แกล้งแกมีความสุขจริงๆ ไปล่ะ” ไรวัตหัวเราะชอบอกชอบใจเดินหนีไปอยู่อีกห้องหนึ่ง ปล่อยให้ทั้งคู่เคลียร์กันเอง

“ไอ้ชั่วไอ้เลว ไอ้ไรวัต...แกกลับมานะ กลับมาเคลียร์กับฉันก่อน” ตรองตะโกนด่าไล่หลัง แต่ไรวัตไม่สนใจ กุลวรางค์ เดินหนีไปด้วยอารมณ์สับสน ตรองรีบวิ่งตามเธอจนทัน ยังไม่ทันจะอ้าปากอธิบายอะไร กุลวรางค์ขอดูแหวนวงนั้นเสียก่อน ยิ่งเธอเห็นแหวนเพชรที่ตรองตั้งใจซื้อให้ยิ่งซาบซึ้งใจน้ำตาซึม ทั้งๆที่เธอมีใจให้เขาเช่นกัน แต่จำต้องขอร้องให้เขาเอาแหวนไปคืน เธอรับมันไว้ไม่ได้ ตรองหน้าเสีย

“ทำไมล่ะ...ผมไม่ดีพอสำหรับคุณงั้นหรือ”

“เมณี่...เพราะเมณี่ต่างหาก”

ตรองไม่เข้าใจ มณีจันทร์เกี่ยวอะไรด้วย กุลวรางค์ตัดสินใจแน่วแน่ ต่อจากนี้ไป เธอกับเขาจะไม่พบเจอกันอีก ขอให้เราสองคนกลับไปที่เดิมเหมือนไม่เคยรู้จักกัน กุลวรางค์ จำต้องรีบตัดใจจากเขาก่อนจะทำไม่ได้

“ลาก่อน...ดร.” กุลวรางค์พูดจบ วิ่งหนีไปทั้งน้ำตา ตรองถึงกับทรุดลงนั่งกับฟื้น ความหวังพังครืน

ooooooo

อีกมุมหนึ่งของบ้านมณีจันทร์ ไรวัตหยิบรูปถ่ายของมณีจันทร์ที่ตั้งโชว์อยู่แถวนั้นขึ้นมาดู พึมพำกับรูป

“เมณี่...ผมคิดถึงคุณจัง ตอนที่คุณอยู่ ผมคิดหาแต่วิธีเป็นเจ้าของคุณ ช่วงเวลานั้น ผมเหมือนคนเห็นแก่ตัวเลยใช่ไหม เมื่อไม่มีคุณ ผมนึกถึงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน ได้รู้ว่า คุณเคยสอนผมยังไงบ้าง” พลันภาพในอดีตผุดขึ้นมาใน
สมองของไรวัต...

วันนั้นเป็นวันหยุด ไรวัตมารับมณีจันทร์ที่บ้านจะชวนไปหาของอร่อยๆกิน ไปดูงานแสดงเครื่องเสียงรุ่นใหม่ล่าสุด แล้วไปดูหนังกันต่อ มณีจันทร์ทักท้วงที่ไรวัตชวนทำเป็นกิจกรรมในฐานะผู้รับทั้งนั้น ไรวัตมองงงๆ

“เป็นผู้รับ ตักตวงความสุขของโลกจากสังคม จากนั้นก็ตายไปพร้อมสร้างปัญหาให้กับโลกนี้มากมาย คุณพอใจชีวิตแค่นี้หรือคะ” มณีจันทร์อธิบาย

“ใครๆก็ทำกันแบบนี้ ผมไม่ได้ชวนคุณไปดื่ม หรือไปเสพยาสักหน่อย”

มณีจันทร์จะขอเป็นไกด์พาเขาไปทัวร์ที่อื่นบ้าง และสถานที่ที่เธอพาเขาไปคือ ห้องสมุดคนตาบอดแห่งชาติ เพื่อบันทึกเสียงจากการอ่านหนังสือต่างๆไว้ให้คนตาบอดได้ฟัง...

หลังจากบันทึกเสียงเสร็จ มณีจันทร์ชวนไรวัตเข้าไปดูในส่วนที่เป็นห้องสมุด เห็นคนตาบอดนั่งฟังเสียงจากแผ่นซีดีที่เธอกับเขาเพิ่งบันทึกเสียงไว้ให้

“มองดูพวกเขาสิ เขาได้เห็นโลกใหม่ที่เพิ่มขึ้น เพราะเราสองคน คุณมีความสุขไหมไรวัต”

“ก็ยังคิดถึงเครื่องเสียงใหม่อยู่ดี” ไรวัตพูดจบ โดนมณีจันทร์เอาศอกกระทุ้งสีข้าง ถึงกับยิ้มแหย รีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ทันที “ก็ดีแหละ ทำงานเหนื่อยๆ มาเห็นคนที่เขาลำบากกว่าเราก็ได้รู้ว่า เราโชคดีแค่ไหนที่มีตามองเห็น มีงานให้ทำ”

“นั่นล่ะใช่เลย...ความรู้สึกแบบนี้จะตามไปเมื่อคุณเหนื่อย คุณท้อ คุณจะได้เห็นคุณค่าของชีวิต ความรู้สึกแบบนี้ เครื่องเสียงใหม่แค่ไหนก็ให้คุณไม่ได้ การเป็นผู้ให้ ทำให้เรามีความสุขมากกว่าการเป็นผู้รับ เพราะเหตุนี้แหละ”

“เมณี่ ผมเคยคบกับดารา นางแบบที่สวยกว่าคุณ แต่วันนี้ผมเพิ่งรู้ว่าคุณน่ะสวยที่สุด” ไรวัตมองมณีจันทร์ด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความรัก...

ไรวัตคิดถึงความหลังครั้งนั้นแล้วอดยิ้มไม่ได้ พึมพำกับรูปมณีจันทร์อีกว่า “วันนี้ ผมช่วยเขาสองคนเพราะคุณนะเมณี่ การได้รู้จักคุณช่วยทำให้คุณชายนิสัยเอาแต่ใจอย่างผม ได้พบชีวิตในมุมมองใหม่ มุมมองของการเป็นผู้ให้ไม่ใช่ผู้รับอย่างเดียว” ไรวัตน้ำตาคลอ กอดรูปถ่ายของมณีจันทร์ไว้ด้วยความคิดถึง

ooooooo

ที่หอนกภายในเรือนของหลวงอัครเทพ มณีจันทร์ยังคงนอนอยู่บนเตียงเนื่องจากยังมีไข้ เธอไม่ค่อยชอบใจนักที่หลวงอัครเทพย้ายเธอออกมานอนไกลจากกระจกข้ามภพ ออดอ้อนม้วนว่าอยากกลับบ้าน ช่วยพากลับไปหากระจกที เธออยากกลับไปนอนห้องนอนเก่า

“เอาไว้วันพรุ่งนี้ดีไหมเจ้าคะ” ม้วนพยายามซื้อเวลา มณีจันทร์ร้องไห้โยเยเหมือนเด็กๆ

“แล้วถ้าเผื่อคืนนี้สัญญาณดังล่ะ ไปเถอะ...ไปแลกห้องนอนกัน”

“รอรุ่งเสียก่อนจะดีกว่า คืนนี้สงัดแล้วนะเจ้าคะ”

“งั้นพรุ่งนี้นะ พรุ่งนี้ต้องเปลี่ยนห้อง” มณีจันทร์ขอคำยืนยัน แต่ม้วนกลับบ่ายเบี่ยง บอกให้นอนพักผ่อนก่อน หลวงอัครเทพกับคุณหญิงแสร์ยืนอยู่หน้าห้องได้ยินทุกอย่าง มองสบตากันสีหน้าเป็นกังวล จากนั้น สองแม่ลูกมานั่งปรึกษาหารือกันที่โถงกลางเรือน คุณหญิงแสร์เป็นห่วงมณีจันทร์มาก ขืนปล่อยให้ตรอมใจคิดถึงบ้านแบบนี้ อาการป่วยอาจจะไม่หาย หลวงอัครเทพรักมณีจันทร์มากเกินกว่าจะยอมให้เธอกลับไป

“พ่อเทพแน่ใจหรือว่าจะอยู่กินกับแม่มณีได้”

“แน่ใจขอรับ”

“หล่อนเป็นคนลับแล พ่อเทพต้องรู้ไว้ คนลับแลถือสัจจะ พูดคำไหนคำนั้น ขนาดเคยมีคนหลงเข้าเมืองลับแลอยู่กินจนมีลูกด้วยกัน ลูกร้องไห้จะหาแม่ พ่อก็หลอกลูกว่านู้น...แม่มาแล้ว เท่านั้นเขาถือว่าโกหกไร้สัจจะ เขาให้ออกจากเมืองลับแล ตอนออกมา นังเมียให้หัวขมิ้นมาเต็มย่าม เจ้าผัวไม่รู้ พอเดินๆไปหนักเข้า เก็บทิ้งหมดเหลือไว้แง่งเดียว พอออกมาถึงได้รู้ว่าเป็นทอง” คุณหญิงแสร์ยังคงเชื่อว่ามณีจันทร์มาจากเมืองลับแล

“เอ...กระผมยังไม่ได้หัวขมิ้นจากแม่มณีเลย” หลวงอัครเทพแกล้งแหย่

“เรื่องของเรื่อง แม่มณีเป็นฝ่ายมา หากพ่อเทพถลาถลำทำไม่งาม เกิดหล่อนหนีกลับ พ่อเทพจะทำยังไง”

“กระผมถึงยอมให้หล่อนกลับไปไม่ได้”

“ทางโน้นแม่มณีก็มีห่วง หล่อนคิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน ใจของหล่อนไปทางโน้นแล้ว เราจะเอาโซ่ล่ามตัวหล่อนไว้หรือลูก เราจะใช้วิธีไหนผูกหล่อนไว้ บอกแม่ได้ไหม”

“กระผมจะผูกหล่อนไว้ด้วยความรักของกระผมขอรับคุณแม่” หลวงอัครเทพยิ้มอย่างมั่นใจ...

ครู่ต่อมา ขณะมณีจันทร์นอนหน้าเศร้าอยู่ในห้อง หลวงอัครเทพเข้ามาหา พร้อมกับซ่อนบางอย่างไว้ข้างหลัง ม้วนรู้งานรีบออกไปยืนเฝ้าหน้าห้อง ดูต้นทางให้เหมือนเคย หลวงอัครเทพนั่งลงข้างๆมณีจันทร์

“ยังไม่มีแรงร้องเพลงรึ”

“ร้องเพลงยังไม่ได้ แต่ฟังได้ เล่นไวโอลินสิคะ”

หลวงอัครเทพเอาของที่ซ่อนไว้ด้านหลังออกมา เป็นมะลิซ้อนร้อยกับทางมะพร้าวมีดอกรักสีขาวเป็นพวงผูกติดกันวางไว้ข้างหมอนที่มณีจันทร์นอนหนุน เพื่อบอกความรักและความจริงใจที่มีต่อเธอ มณีจันทร์มองสายตาลึกซึ้งของเขาแล้วเข้าใจได้ทันที ถึงกับน้ำตาคลอ

“ฉันเคยได้ยินคำบอกรักมามาก ไม่มีคำรักไหน ไม่มีทีท่าบอกรักใดๆเหมือนสิ่งนี้เลย” มณีจันทร์หยิบดอกรักกับมะลิพวงนั้นขึ้นมาดม เป็นเชิงว่ารับรักจากเขา หลวงอัครเทพจูบหน้าผากเธออย่างอ่อนโยน ก่อนเดินออกไป สักพักมีเสียงไวโอลินบรรเลงเพลงรักดังขึ้น มณีจันทร์มองดอกรักที่ร้อยมากับมะลิซ้อนยิ้มมีความสุข ความรักที่หลวงอัครเทพมอบให้ ช่วยให้เธอคลายความคิดถึงบ้านลงได้...

เสียงเพลงรักจากไวโอลินของลูกชาย ทำให้คุณหญิงแสร์ชะงัก วางมือจากงานที่ทำ พึมพำเป็นกลอนว่า

“โซ่ตรวนผูกรัดสักร้อยหุน ใจมั่นมุ่งหักทลายย่อมคลายได้ แต่ใยรักบางเบาสักเท่าใด ผูกพันไว้แนบสนิทนิจนิรันดร์”...

ขณะที่ความรักอบอวลไปทั่วเรือนหลวงอัครเทพ ที่อีกด้านหนึ่งของกระจกข้ามภพ คุณหญิงมาลิดายังคงรอการกลับมาของลูกสาวอย่างใจจดจ่อ เธอเดินไปหยิบรูปถ่ายของหลวงอัครเทพที่วางอยู่ในห้องนอนมณีจันทร์ขึ้นมามองสำรวจ

“ยิ้มละไม ดวงตาซื่อ มั่นคง นี่หรือจ๊ะ เมณี่ยอมอ่อนข้อให้คนแบบนี้เองหรือลูก” คุณหญิงมาลิดาเอามือลูบรูปถ่ายของหลวงอัครเทพ พึมพำกับรูปถ่ายอย่างสงสัย “คุณจะเอาลูกฉันอยู่หรือ”

ooooooo

เช้าวันนี้ มณีจันทร์อาการดีขึ้นมาก ลุกได้แล้ว ม้วนเตรียมน้ำมนต์จากหอพระมาให้ล้างหน้าตามคำสั่งของคุณหญิงแสร์ ยิ่งคุณหญิงแสร์มีเมตตากับมณีจันทร์มากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เธอคิดถึงแม่ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

“เรื่องกลับบ้านยังไงก็คงได้กลับ แต่จะทำอะไรก็สงสารคุณหลวงท่านบ้างเถอะนะเจ้าคะ” ม้วนว่าแล้วพามณีจันทร์ไปอาบน้ำ หลังจากแต่งตัวเสร็จ คุณหญิงแสร์แวะมาหา หยิบห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาเปิดให้มณีจันทร์ดู

“วันนี้ได้หวายลูกนิมิตมา”

“เป็นยังไงเจ้าคะ”

“หวายที่ห้อยลูกนิมิต ลูกเอก พอเขาตัดลงหลุม ก็เหลือหวายไว้ตัดแจก หวายนี่กันผีได้ เดี๋ยวจะส่งไปให้ช่างทองเขาถักทองร้อยรัดไว้ แม่มณีจะได้ห้อยคอ”

อ่านละครทวิภพ ตอนที่ 16 วันที่ 11 กย.54
โดย บทประพันธ์ ทมยันตี
จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 โดย นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
ที่มาไทยรัฐ

No comments:

Post a Comment

My Blog List