Sunday, September 11, 2011

อ่านละครทวิภพ ตอนที่ 15 วันที่ 8 กย.54


อ่านละครทวิภพ ตอนที่ 15
“แค่นี้ใช่ไหม” หลวงอัครเทพตัดบท มณีจันทร์รู้ว่าโดนไล่แต่ไม่ยอมไปง่ายๆ เล่าเรื่องขำขันให้เขาฟัง บ่าวที่อยู่แถวนั้นพากันหัวเราะขำ หลวงอัครเทพกลับเฉย มณีจันทร์ยั่วให้เขาหัวเราะไม่สำเร็จจำต้องกลับขึ้นเรือน

ooooooo

ระหว่างกินอาหารกลางวันด้วยกัน หลวงอัครเทพยังคงมีท่าทีที่เย็นชาต่อมณีจันทร์ เธอเลยแกล้งชี้ไปที่อาหารจานหนึ่งตรงหน้า ถามว่าอาหารจานนี้คืออะไร หลวงอัครเทพไม่ตอบก้มหน้าก้มตากินข้าวเหมือนไม่ได้ยินคำถาม ม้วนไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ตอบคำถามแทนว่าเป็นยำทวาย

“เหรอ...ฉันนึกว่าเรียก...ยำหน้าบูด” มณีจันทร์ว่ากระทบ ก่อนจะชี้ไปที่จานผัดผัก “แล้วนี่ล่ะ”

“ก็ตั้งเอาตามใจเถอะเจ้าค่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้วก็” ม้วนบอกอย่างเหนื่อยใจ ไม่รู้เจ้านายสาวจะมาไม้ไหนอีก

“ฉันจะเรียกผัดนิ่งเฉย...โอเคไหมม้วน”

“เคก็เคเจ้าค่ะ...ม้วนนะเคอยู่แล้ว แต่ว่า...” ม้วนบุ้ยใบ้ไปทางเจ้านายใหญ่ หลวงอัครเทพรู้ตัวถูกมณีจันทร์แดกดัน หมดอารมณ์จะกินอาหาร กระแทกช้อนเสียงดัง แล้วลุกหนี มณีจันทร์หน้าหงิก แกล้งร้องเอะอะ
“อุ๊ย...นาฬิกาดัง...ไปก่อนนะ” มณีจันทร์วิ่งจู๊ดออกไปทันที หลวงอัครเทพตกใจ รีบเดินตามมณีจันทร์จนทัน ถามว่าเสียงนาฬิกาดังจริงหรือ

“ค่ะ ก็นาฬิกาเรือนนี้ไงคะ ดังทุกครั้งที่ครบชั่วโมง ท่านก็ได้ยินบ่อยๆไม่ใช่หรือคะ” มณีจันทร์ชี้ไปที่นาฬิกาตั้งพื้นเรือนใหญ่ที่วางอยู่ตรงทางเดิน หลวงอัครเทพเพิ่งรู้ตัวว่าถูกหลอก

“นี่...หล่อนโกหก...”

“ก็จู่ๆ ท่านไม่พูดกับฉัน ฉันก็ลองดูว่าท่านยังสนใจฉันไหม” มณีจันทร์ยิ้มยั่ว หลวงอัครเทพโมโห คว้าข้อมือมณีจันทร์ไว้ ตัดพ้อต่อว่า ว่ามณีจันทร์นั่นแหละไปทำอะไรไว้ ยังเที่ยวมาโทษคนอื่นอีก มณีจันทร์นึกไม่ออกตัวเธอไปทำอะไรผิดตอนไหน หลวงอัครเทพหาว่าเธอสนุกกับการหว่านเสน่ห์ไปทั่ว มณีจันทร์ยิ่งงง

“หว่านเสน่ห์...กับปิแอร์หรือคะ...ก็คุยกันไปแล้วนี่คะว่าเป็นเรื่องงาน”

“เรือนแพนั่น ฉันจะสร้างให้ใหญ่ สร้างให้เสร็จก่อน อยากได้ไม่ใช่หรือเรือนแพใหญ่ๆน่ะ ฉันก็สร้างได้เหมือนกัน” หลวงอัครเทพปล่อยมือมณีจันทร์ แล้วผละจากไป มณีจันทร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้

“แย่แล้ว...คุณหลวงได้ยินที่เราคุยกับท่านเจ้าคุณเรื่องเรือนแพ” มณีจันทร์กลุ้มใจไม่รู้จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี คิดถึงคุณหญิงแสร์ขึ้นมาได้ รีบนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับท่านทันที...

หลังจากคุณหญิงแสร์ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากมณีจันทร์ ก็หัวเราะขำ มณีจันทร์งง ขำอะไร

“หล่อนนี่เก่งนะ ฉันเลี้ยงพ่อเทพมาตั้งแต่เด็ก เขาเรียบร้อยใจเย็นมาตั้งแต่ไหน ยังไม่เคยเห็นเขาตอนโมโหจัดสักที” คุณหญิงแสร์พูดไปขำไป

“โหย...คุณแม่เจ้าคะ นี่ไม่ได้เรียกว่าเก่งนะเจ้าคะ เรียกว่าซวยต่างหาก”

คุณหญิงแสร์งง ซวยแปลว่าอะไร แต่ไม่คิดจะถาม พูดเรื่องมณีจันทร์กับหลวงอัครเทพต่อ “หนุ่มสาวก็อย่างนี้ คราวที่แล้วหล่อนไม่พูดกับเขา ทำให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ หนนี้ เขาก็ทำเอาบ้าง ถือว่าชดใช้กรรม”

“คุณแม่อ่ะ...มณีมาขอความช่วยเหลือนะเจ้าคะ มณีไม่รู้จะทำยังไงดี มณีกับท่านเจ้าคุณ เฮ่อ...เอาเป็นว่ามณีไม่ได้คิดอะไรกับท่านเจ้าคุณ ที่รับปากรับคำไปวันนั้นเพราะ...อืม...คือมณีเห็นท่านเหมือนญาติผู้ใหญ่เหมือนพ่อน่ะเจ้าค่ะ”

“แต่ท่านเจ้าคุณท่านไม่ได้คิด”

“ก็นั่นน่ะสิ...ถ้าจะผิดก็ตรงมณีไม่ได้เฉลียวใจ แหม ท่านมีเมียตั้งสามแล้วนะเจ้าคะ”

“เฮ่อ...เรื่องนี้เป็นเรื่องลำบาก...ท่านเจ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ ถ้าท่านเอ่ยปากขอหล่อนจริงๆ ฉันหรือแม้แต่พ่อเทพก็ปฏิเสธไม่ได้”

มณีจันทร์ตกใจถึงกับร้องเสียงหลง เธอไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาด ใครก็บังคับเธอไม่ได้ คุณหญิงแสร์เตือนว่าผู้หญิงสาวเป็นสมบัติของพ่อแม่ ถ้าออกเรือนไปแล้วก็เป็นสมบัติของผัว ถ้ายิ่งมียศศักดิ์ใหญ่โตอย่างเจ้าคุณวิศาลคดีจะปฏิเสธอะไรก็ต้องระมัดระวังผลที่จะตามมา มณีจันทร์อึ้ง คราวนี้ต้องเป็นเรื่องแน่ๆ

ooooooo

ที่เรือนคุณหญิงสรเดช หลังจากประยงค์เตรียมข้าวปลาอาหารไว้รับรองเพื่อนๆชาววังของคุณหญิงสรเดชเสร็จเรียบร้อย เธอตามขึ้นไปสมทบกับแม่และแขกของท่านบนเรือนใหญ่ จังหวะนั้น ยาวถือจดหมายของหลวงเจนพาณิชย์คลานเข้ามา พอเห็นมีแขกเต็มบ้าน จะคลานกลับ แต่คุณหญิงสรเดชเห็นเสียก่อน

“นังยาว มาแล้วก็เข้ามานี่เลย มาลับๆล่อๆทำไมกัน มาเอากาน้ำชาไปเติมน้ำร้อนเร็วเข้า”

ยาวหนีไม่ออก รีบคลานเข้ามาหาตามสั่ง โดยไม่รู้ตัวว่าทำจดหมายหล่นจากเอว เพื่อนของคุณหญิงสรเดชคนหนึ่งเห็นจดหมายตกอยู่ ถือวิสาสะหยิบมาเปิดอ่านเสียงดัง

“ประยงค์นงนุชสุดสวาท พี่ไม่อาจห้ามจิตพิสมัย”

ทุกคนที่อยู่ที่โถงกลางเรือนพากันตกใจ โดยเฉพาะประยงค์ คุณหญิงสรเดชถามเสียงเขียวว่าใครส่งจดหมายมา ได้ความว่าหลวงเจนพาณิชย์เป็นคนส่ง คุณหญิงสรเดชทั้งโกรธทั้งอาย โวยวายลั่น

“บังอาจนัก ใครเอาของพรรค์นี้เข้ามา เอามาได้ยังไง...หา”

ยาวตัวสั่นแทบร้องไห้ ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนนำจดหมายฉบับนี้มา แต่เป็นเพราะถูกหลวงเจนพาณิชย์บังคับ คุณหญิงสรเดชอับอายเพื่อนๆมาก ขณะที่ประยงค์หน้าซีดแล้วซีดอีก...

พอได้จังหวะเหมาะ คุณหญิงสรเดชลากประยงค์ออกมาคุยกันตามลำพัง ซักไซ้ไล่เลียงว่าแอบส่งจดหมายหากันตั้งแต่เมื่อใด ประยงค์ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย หลวงเจนพาณิชย์เป็นฝ่ายส่งมา เธอยังไม่เคยส่งไปสักฉบับ คุณหญิงสรเดชไม่พอใจที่ประยงค์ไม่บอกเรื่องนี้กับตน หรือรู้เห็นเป็นใจให้เขาทำเช่นนี้ ประยงค์ปฏิเสธเสียงหนักแน่น ไม่เคยมีใจให้หลวงเจนพาณิชย์แม้แต่น้อย...

ทางด้านเพื่อนๆชาววังของคุณหญิงสรเดชซุบซิบนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสนุกปาก แล้วชวนกันชะเง้อคอมองหา เห็นหลวงเจนพาณิชย์ยืนลับๆล่อๆอยู่หน้าประตูรั้ว ต่างชี้ชวนกันดู คุณหญิงสรเดชเข้ามาพอดี ชะเง้อมองตามมือเพื่อน เห็นหลวงเจนพาณิชย์ยืนอยู่ที่นั่นจริงๆ

“โอย...ฉันล่ะอยากตายจริงๆ หมดกัน ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล” คุณหญิงสรเดชเข่าอ่อน ทรุดตัวลงนั่ง...

ขณะที่คุณหญิงสรเดชลมจะใส่อยู่บนเรือนใหญ่ หลวงเจนพาณิชย์เห็นพวกคุณหญิงสรเดชชี้มือมาที่ตน

“หรือว่าเห็นจดหมาย...เป็นไงเป็นกันวะ” หลวงเจนพาณิชย์ตัดสินใจเดินตรงไปที่นั่นทันที...

เมื่อหลวงเจนพาณิชย์ได้มาอยู่ต่อหน้าคุณหญิงสรเดช เขาตีสีหน้าสำนึกผิด อ้างที่ต้องเข้ามาพบท่านเพราะสำนึกได้ว่ากระทำผิดใหญ่หลวงเลยต้องเข้ามากราบขอโทษ

“คุณหลวงเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำแบบนี้ไม่คิดถึงหน้าท่านเจ้าคุณ ไม่คิดถึงหน้าอิฉันเลยนะเจ้าคะ...ท่านทำเหมือนเด็กๆ เหมือนคนสิ้นคิด ถ้าชอบพอกันทำไมไม่ส่งผู้ใหญ่มา ลูกสาวอิฉันไม่ใช่ผู้หญิงข้างถนนนะเจ้าคะ ทำแบบนี้ดูถูกกันชัดๆ” คุณหญิงสรเดชต่อว่าฉอดๆ

“เขาลือกันให้ทั่วว่าคุณประยงค์มีคู่หมายแล้ว กระผมก็เลยไม่กล้า ครั้นจะอยู่เฉยก็อดคิดถึงไม่ได้ ไปๆมาๆก็เลยริอ่านกระทำการด้วยตัวเอง ทำให้คุณหญิงต้องขุ่นเคืองใจในคราวนี้ กระผมสำนึกผิดแล้วจริงๆขอรับ กระผมยินดีรับผิดชอบเรื่องนี้”

“รับผิดชอบ...จะรับผิดชอบยังไงไหว”

“กระผมไม่ได้มีอะไรต้อยต่ำไปกว่าหลวงเทพ ทำไมคุณหญิงไม่พิจารณากระผมบ้าง กระผมจะจัดผู้ใหญ่มาสู่ขอคุณประยงค์ในเร็ววันขอรับคุณหญิง” หลวงเจนพาณิชย์สีหน้ามุ่งมั่น ขณะที่คุณหญิงสรเดชตกใจไม่คาดคิดมาก่อน เรื่องจะเลยเถิดไปกันใหญ่โต

ooooooo

ในเวลาเดียวกัน มณีจันทร์ตามมาง้อหลวงอัครเทพถึงเรือนแพที่กำลังต่อเติมใหม่ ขอร้องให้เขาหยุดสร้างเรือนแพแล้วมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน หลวงอัครเทพกลับเดินหนี มณีจันทร์ตะโกนสั่งพวกบ่าวทั้งหลายให้หยุดทำงาน หลวงอัครเทพไม่ยอมแพ้สั่งให้พวกบ่าวทำงานต่อ แล้วตัวเองโดดลงไปช่วยอีกแรง ม้วนเตือนมณีจันทร์ทำอย่างนี้ไม่งาม ขอร้องให้กลับขึ้นเรือนใหญ่ มณีจันทร์ไม่สนคำเตือน

“ไม่งามหรือ...อืม...คิดก่อนทำอะไรบ้างนะ...ไม่งาม...อ๋อ...นึกออกแล้ว” มณีจันทร์นึกได้ เดินยิ้มหวานเข้าไปหาหลวงอัครเทพที่กำลังทำงานอยู่กับพวกบ่าวชาย ม้วนรู้ทันทีต้องมีเรื่องแน่ๆ เป็นจริงอย่างคาด มณีจันทร์ร้องเพลงลูกทุ่ง แถมเต้นลีลาประกอบเพลงอย่างเมามัน บางครั้งยิ้มยั่ว ส่งสายตาหวานเยิ้มให้หลวงอัครเทพ พวกบ่าวชายตะลึงงันอ้าปากค้าง ขณะที่ม้วนตกใจ วิ่งเข้ามาจับตัวมณีจันทร์ให้หยุดเต้น

“คุณมณีหยุดนะเจ้าคะ คุณมณีไม่เอานะเจ้าคะ เดี๋ยวบ่าวเอาไปลือหัวคุ้งท้ายคุ้ง...เดี๋ยวคุณหญิงมาเห็นเข้าอีม้วนหลังลาย”

มณีจันทร์กลับยิ่งสนุก คว้าหางกระเบนม้วนดึงออกมาเล่น ม้วนวิ่งหนีวุ่นวายไปหมด พวกบ่าวชายยืนมองไม่เป็นอันทำงานทำการ ขาบแนะให้หลวงอัครเทพหยุดทำงานก่อนจะดีกว่า

“ไม่ต้องหยุด...ไม่ต้องหยุดได้ยินไหม” หลวงอัครเทพตวาดลั่น พวกบ่าวสะดุ้งโหยงหันไปทำงานของตัวเองต่อ มณีจันทร์เห็นหลวงอัครเทพไม่สนใจ เลยหยุดเต้น เดินเข้ามาหา อธิบายว่า

“เรื่องเรือนแพ เป็นการรับปากตามมารยาท ตอนนั้น ฉันไม่รู้นี่นาว่าท่านเจ้าคุณวิศาลคิดยังไงกับฉัน”

“โอย...เบาๆหน่อยเจ้าค่ะ บ่าวไพร่ได้ยินหมด ไม่งามนะเจ้าคะ” ม้วนเตือนอีกครั้ง พวกบ่าวชายหูผึ่งหยุดกึกหันมาฟัง ขาบเอ็ดพวกนั้นให้ทำงานต่อ มณีจันทร์ไม่สนม้วน ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ส่งเสียงดังกว่าเก่า

“ฉันไม่ได้อยากได้เรือนแพ ไม่ได้ตั้งใจยั่วยวนท่านเจ้าคุณได้ยินไหม”

“โอ๊ย...หมด...หมดกัน คุณท่านเจ้าขาไม่เอาเจ้าค่ะ เดี๋ยวเขาเอาไปลือกันนะเจ้าคะ” ม้วนขอร้อง

“โอ๊ย...กลัวที่ไหน ชื่อฉันน่ะไม่เสียเพราะแค่นี้หรอก ถ้ากลัวบ่าวเอาไปลือแค่เนี้ยลือไม่นาน อยากให้ลือนานๆ รู้ไหมต้องทำยังไง” มณีจันทร์พูดจบ ขยับเข้าไปใกล้ๆหลวงอัครเทพ กระซิบเบาๆได้ยินกันแค่สองคน “ก็แค่ยื่นหน้าไปหอมแก้มขาวๆของคุณหลวง”

หลวงอัครเทพตกใจ ถึงกับผงะ บ่าวชายทั้งหลายที่ยืนทำงานอยู่เมื่อครู่ มายืนรวมกันข้างหลังขาบกระซิบถามขาบกันใหญ่ว่ามณีจันทร์พูดอะไรกับคุณหลวง ขาบรีบไล่ตะเพิด พวกบ่าวไปทำงานต่อ

“แบบที่แหม่มทักทายกันน่ะ ฉันไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่คนพวกนี้น่ะสิ เขาต้องเอาไปลือจนชั่วชีวิตเขา เผลอเล่ากันชั่วลูกชั่วหลานจนโลกแตก แต่ยังไม่ลืมชื่อมณีจันทร์เลย” มณีจันทร์ลอยหน้าลอยตายั่ว

“นี่...ฉันจะทำอย่างไรกับหล่อนดี...ยางอายน่ะมีไหม” หลวงอัครเทพดุเสียงเข้ม

“ยางอาย...รู้สึกพ่อแม่จะไม่ได้ให้มานะ คงไม่มีหรอก ...ว่าไงคะ จะหยุดหรือไม่หยุด” มณีจันทร์ขู่ แต่หลวงอัครเทพ ยังนิ่งเฉยเธอเลยแกล้งเดินเข้าหาทำท่าเอาจริง เขาถอยกรูดจนขาข้างหนึ่งตกลงไปในน้ำ มณีจันทร์หัวเราะคิกคักชอบใจ สุดท้ายแล้ว หลวงอัครเทพจำต้องสั่งให้ทุกคนหยุดทำงาน พวกบ่าวชายพากันเสียดายอดดูละครต่อ ขาบรีบต้อนทุกคนออกจากเรือนแพ

ooooooo

พอได้อยู่กันตามลำพัง มณีจันทร์อธิบายให้หลวงอัครเทพฟังว่า เธอเพิ่งรู้จากคุณหญิงแสร์ว่าเจ้าคุณวิศาลคดีคิดอะไรกับเธอ และเธอไม่เคยไปยั่วยวนท่าน ขอร้องให้เขาเข้าใจเสียใหม่

“ท่านรูปงาม จิตใจงาม เรือนท่านก็ใหญ่โต ภรรยาท่านก็พร้อมจะลงให้หล่อนได้เป็นคุณหญิงทันทีด้วยนะ ไม่สนใจแน่รึ”

“อุ๊ย...พูดจาประชดประชันก็เป็น ไอ้ที่ทำเรือนแพนี่ก็ประชดทั้งนั้น คิดๆไป เป็นมุมที่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็น...มิน่า...คุณแม่หัวเราะแล้วหัวเราะอีก” มณีจันทร์เดินไปนั่งข้างหลวงอัครเทพ กระเซ้าว่า “ท่าทางหลวงอัครเทพจะหลงมณีจันทร์เอามากนะเนี่ย”

“เอ๊ะ...ทำไมถึงช่างยั่วอย่างนี้นะ”

“จะเป็นไรคะ ไม่ใช่หลวงเทพหลงแม่มณีฝ่ายเดียวเสียเมื่อไหร่ แม่มณีก็หลงหลวงเทพจนไม่มีตาไว้มองผู้ชายอื่นเหมือนกัน” มณีจันทร์ส่งสายตาจริงจังให้หลวงอัครเทพ ก่อนจะสารภาพอีกว่า

“ทุกวันนี้ ฉันทิ้งทุกอย่างที่โลกของฉัน ไม่ใช่เพื่อทำงานให้ชาติบ้านเมืองอย่างเดียว หากเพราะผูกพันกับคุณหลวงอัครเทพวรากรผู้นี้ด้วย คุณหลวงเจ้าขา ความผูกพัน ความรักที่ท่านมอบให้ฉัน ความผูกพัน ความรักที่ฉันมอบให้ท่าน แน่นแฟ้นกว่าเรือนแพหลังใหญ่ๆ มากกว่าลาภยศสรรเสริญทั้งปวง ท่านว่าจริงไหมคะ”

“แม่มณี” หลวงอัครเทพมองมณีจันทร์ตอบอย่างซาบซึ้งใจ เธอกอดเขาไว้ยิ้มมีความสุข

“อ้อมกอดที่ท่านกอดฉันทุกครั้งยามกระจกนั่นเรียก คงไม่อาจหาอ้อมกอดใครมาเสมอเหมือนได้อีก”

“เรื่องครั้งนี้ ฉันหนักใจอยู่มากด้วยท่านเจ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ ฉันไม่แน่ใจจริงๆระหว่างเสียหล่อนให้กับกระจก กับเสียหล่อนให้ท่านเจ้าคุณ สิ่งไหนเป็นทุกข์มากกว่า”

“ฉันก็ตอบไม่ได้ คนเรามีชีวิตแต่หลายครั้งก็ไม่อาจเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ทุกอย่างเหมือนถูกกำหนดมาแล้วโดยโชคชะตา”

“หากโชคชะตาไม่ได้กำหนดให้เราอยู่ด้วยกัน ฉันนึกไม่ออก...ฉันเอ้อ...ฉันจะอยู่ต่อไปอย่างไร” หลวงอัครเทพจูบหน้าผากมณีจันทร์ที่กำลังกอดตนเองด้วยความรักหมดหัวใจ

“คุณหลวงเจ้าขา ปัญหาของเราปัญหาของชาติ เราจะเปลี่ยนแปลงมันได้จริงไหมไม่มีทางรู้ ฉันรู้แต่ว่าหัวใจของฉันมีคุณหลวงแต่เพียงผู้เดียว” มณีจันทร์ยืนยันหนักแน่นทำให้หลวงอัครเทพคลายความหึงหวงลง

ooooooo

ประยงค์เสียใจมากถึงกับเป็นลมเมื่อแอบได้ยินพ่อกับแม่ของเธอคุยกันเรื่องจะให้เธอออกเรือนไปกับหลวงเจนพาณิชย์เพื่อลบข้อครหา ดีที่ยาวต้นห้องของประยงค์วิ่งมารับเธอไว้ได้ทันก่อนหัวจะฟาดพื้น คุณหญิงสรเดชได้ยินเสียงเอะอะรีบวิ่งไปดูกับท่านเจ้าคุณผู้เป็นสามี เห็นประยงค์สลบไสลไม่ได้สติตกใจมาก

ooooooo
หลังจากมณีจันทร์กับหลวงอัครเทพปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ทั้งคู่พากันกลับเรือนใหญ่ ขาบปรี่เข้ามารายงานว่าเมอร์ซิเออร์ปิแอร์มาที่นี่อีกแล้ว มณีจันทร์ยิ้มดีใจ อยากเจอเขาอยู่พอดี หลวงอัครเทพหันขวับ
“นี่หล่อน...หล่อนเพิ่งบอกฉัน...” หลวงอัครเทพยังพูดไม่ทันจบประโยค มณีจันทร์พูดแทรกขึ้นก่อนว่า

“เรื่องงานไงคะลืมไปแล้วหรือ หลังจากทำงานตรงนี้มาคนอย่างมณีจันทร์ไม่มีทางชอบฝรั่งหรอกค่ะ คุณหลวงอดทนเอาไว้ให้มากๆนะคะ ปล่อยให้ฉันทำงานให้เต็มที่อย่าใจร้อนเข้ามาแทรกแซงเด็ดขาด รับปากสิคะ”

หลวงอัครเทพฮึดฮัดทำท่าจะไม่ยอม มณีจันทร์เสนอว่าถ้าเขาเป็นห่วงก็ให้ม้วนกับขาบตามดูแลเธอเหมือนครั้งก่อน แล้วจะให้ขาบคอยวิ่งมารายงานให้เขาทราบ ถ้ามีอะไรไม่ชอบ มาพากลเขาค่อยไปช่วย

หลวงอัครเทพจำใจยอมทำตาม จากนั้น มณีจันทร์ ขาบ และม้วนแยกไปพบเมอร์ซิเออร์ปิแอร์ ระหว่างเดินมาตามทางบนเรือน มณีจันทร์เห็นตู้เก็บขวดเหล้าดองวางอยู่มุมหนึ่ง คิดแผนการออกทันที...

ดูเหมือนโชคจะเข้าข้างมณีจันทร์ วันนี้เมอร์ซิเออร์ปิแอร์มีชีสกับขนมปังบาแก๊ตที่มณีจันทร์ชอบติดมือมาฝาก หญิงสาวทำทีบ่นเสียดายที่เขาไม่ได้เอาไวน์มาด้วย เห็นที่เรือนของเขาสะสมไว้มากมาย เมอร์ซิเออร์ปิแอร์ไม่คิดว่าการมาดื่มที่เรือนคนอื่นจะเป็นการเหมาะสม เลยไม่ได้เอามา

“ไม่เป็นไร...เพราะเรามีกระแช่ มีเหล้าดอง เอ่อ ทำจากผลไม้ จากสมุนไพร เคยลองดื่มไหมเจ้าคะ”

“ยังขอรับ แต่คุณมณีจะให้ผมดื่มตอนนี้หรือขอรับ”

“วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน แต่ถึงอยู่ก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอกเจ้าค่ะ ท่านไม่ใช่คนอื่นไกล นี่มีอยู่หลายขนานเลยนะเจ้าคะ ลองไปเรื่อยๆต้องเจอที่ถูกปากสักตำรับ”

ขาบจัดขวดแก้วขวดเล็กที่มีกระแช่และเหล้าดองหลายขนานใส่ถาดมาวางให้ เมอร์ซิเออร์ปิแอร์ไม่อยากดื่มเหล้าคนเดียว รอให้หลวงอัครเทพมาก่อนดีกว่าจะได้มีเพื่อนดื่ม มณีจันทร์เสนอตัวจะดื่มเป็นเพื่อนเขาเอง ขาบกับม้วนตกใจ ร้องเอะอะขึ้นพร้อมกัน มณีจันทร์หันไปป้องปากกระซิบบอกม้วนกับขาบว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอคอแข็ง รับรองเมอร์ซิเออร์ปิแอร์เมาก่อนแน่ แล้วเธอจะล้วงความลับจากเขาให้เข็ด

“ไม่เคยเห็นผู้หญิงไทยดื่มเลย คุณดื่มเป็นหรือขอรับ” เมอร์ซิเออร์ปิแอร์ถามอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก

“พ่อสอนค่ะไว้ออกงานสังคม จริงๆพ่อให้หัดดื่มไว้ เวลาจะมอมเหล้าผู้ชาย...เอ๊ย...จะถูกผู้ชายมอมเหล้าจะได้เอาตัวรอดได้ไงเจ้าคะ” มณีจันทร์ไหลไปได้เรื่อย

“เป็นความคิดอย่างตะวันตก ไม่นึกว่าคนไทยสอนเรื่องแบบนี้กันแล้ว...ก็ได้ครับ ถ้าได้ดื่มกับคุณมณีผมก็ยินดี” เมอร์ซิเออร์ปิแอร์ยิ้มหวานให้มณีจันทร์โดยไม่เฉลียวใจว่ากำลังถูกหลอก...

ข้างฝ่ายหลวงอัครเทพเดินไปเดินมากลุ้มใจมากเมื่อรู้จากขาบว่า มณีจันทร์วางแผนจะมอมเหล้าเมอร์ซิเออร์ปิแอร์ ขาบรายงานเพิ่มเติมอีกว่า คุณมณีบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เธอคอแข็ง เดี๋ยวจะล้วงความลับจากคุณฝรั่งมาให้หมด หลวงอัครเทพไม่มั่นใจจะเป็นอย่างที่ขาบว่าหรือเปล่า

ooooooo

ผ่านไปไม่นานนัก มณีจันทร์กับเมอร์ซิเออร์-ปิแอร์ดื่มกระแช่หมดไปสองขวด มณีจันทร์เริ่มพูดลิ้นพันกันแถมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่คนเดียวไม่พูดเข้าเรื่องการเมืองสักที ส่วนเมอร์ซิเออร์ปิแอร์ยังคงนั่งนิ่งไม่แสดงอาการใดๆเดาไม่ออกเมาหรือไม่เมา หลวงอัครเทพแอบมองอยู่ห่างๆเห็นท่าไม่ค่อยดีคิดจะล้มเลิกแผนการ แต่แล้วต้องเปลี่ยนใจ เพราะมณีจันทร์เริ่มตั้งคำถามเมอร์ซิเออร์ปิแอร์ได้ตรงประเด็น

“ตกลงนโยบายของทางท่าน จะเอายังไงกันแน่”

“เราจะไม่ยอมแพ้ แม้จะได้ดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแล้ว” เมอร์ซิเออร์ปิแอร์ยอมเปิดปากในที่สุด หลวงอัครเทพ ขาบและม้วนยิ้มออก ขณะที่เมอร์ซิเออร์ปิแอร์ยังจ้อไม่หยุด

“ตอนแรก เราห่วงอังกฤษเพราะทางโน้น มีการค้ามากกว่าทุกประเทศ แต่ในเมื่ออังกฤษวางเฉย ครั้งนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่เราจะรุกคืบเอาแผ่นดินนี้...เรือรบจะยังไม่ออกไป เราจะเอาดินแดนนี้” เมอร์ซิเออร์ปิแอร์ตบโต๊ะเปรี้ยง ก่อนจะเมาฟุบลงไปกับโต๊ะ หลวงอัครเทพปราดเข้ามาสะกิดเรียก

“นายปิแอร์ๆ...หลับสนิทเลย”

“เย้...ฉันชนะ ฉันทำสำเร็จ เขาแพ้แล้วเห็นไหม เขาพูดออกมาแล้วว่าเขาจะยังอยู่ที่นี่ เรือรบเขายังอยู่ เขาจะเอาดินแดนเรา...หา...เขาจะเอาดินแดนเราหรือ...ฮึ...ตายเสียเถอะ” มณีจันทร์คว้าถาดตีหัวคุณฝรั่งเปรี้ยงๆๆ หลวงอัครเทพปราดเข้าไปคว้ามือเธอไว้ร้องห้ามลั่น

“นี่อย่า...เราแค่จะสืบความคิดของเขาไม่ได้จะฆ่าเขา”

“โธ่...ฉันรู้หรอกน่า แค่ล้อเล่นไม่ได้เมาจริงๆสักหน่อย แค่เล่นละครให้เขาตายใจ ฮะๆๆ มณีจันทร์ชนะ มณีจันทร์ยังไม่เมา” มณีจันทร์ลุกขึ้นจะอวดให้ดูว่ายังไม่เมา แต่กลับทรุดฮวบ หลวงอัครเทพต้องรับเอาไว้

“นั่น...เมาขนาดนี้ยังจะเถียง...ม้วนกับขาบดูเอาไว้นะ อย่าให้คนขึ้นมาบนเรือน อย่าให้มาเห็นคุณมณีตอนนี้ ฉันจะอุ้มคุณมณีเข้าไปพัก...ส่วนนายปิแอร์ ขาบช่วยเอาท่านเข้าไปพักในห้อง พรุ่งนี้โน่นแหละถึงจะตื่น” หลวงอัครเทพสั่งเสร็จ อุ้มมณีจันทร์ไปที่ห้องนอนเก่าของเขา วางเธอลงบนเตียงแล้วเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้ มณีจันทร์เพ้อถึงเรื่องจะเสียดินแดนให้ต่างชาติไม่หยุดปากทั้งที่ตาหลับ หลวงอัครเทพปลอบให้นอนพักได้แล้ว

“ฉันคิดถึงเพื่อน คิดถึงแม่...อยากเจอเขา...ไม่...ฉันจะอยู่กับคุณหลวง จะอยู่ช่วยท่านทำงาน ฉันต้องเข้มแข็ง” มณีจันทร์เพ้อทั้งน้ำตา หลวงอัครเทพสงสารเธอจับใจ กอดเธอไว้ด้วยความรักและขอบใจ

“แม่มณีจ๋า...พี่อยู่นี่แล้ว...น้องทำดีแล้วนะ หลับเสียเถิด หลับซะ พี่จะอยู่เป็นเพื่อนนะ” หลวงอัครเทพปลอบจนมณีจันทร์สงบและหลับสนิทในที่สุด...

คุณหญิงแสร์ถึงกับตบอกผางร้องลั่นว่าคุณพระช่วยเมื่อรู้จากหลวงอัครเทพว่ามณีจันทร์มอมเหล้าเมอร์ซิเออร์ปิแอร์ แล้วพากันเมาหลับไม่รู้เรื่องไปทั้งคู่ ท่านจะรอให้ มณีจันทร์ตื่นขึ้นมาเสียก่อน จะได้เรียกมาคุยให้รู้เรื่อง ทำไมถึงทำอะไรพิเรนทร์ขนาดนั้น ขาบเล่าเสริมว่าเรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากขาบ ม้วน และคุณหลวง เพราะคุณหลวงไล่ทุกคนลงเรือนไปหมด

“โฮ้ย...พ่อเทพนะพ่อเทพ ถ้าไม่ใช่เพราะบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ แม่ไม่ยอมเด็ดขาด”

“แม่มณีทำสำเร็จทุกครั้ง หล่อนช่วยเราได้จริงๆขอรับคุณแม่ อย่าเอ็ดหล่อนเลยขอรับ”

“ฮึ่ย...กล้าแกร่งเกินหญิง ชื่อเสียงป่านนี้ป่นปี้ไม่มีเหลือ” คุณหญิงแสร์บ่นเพราะรักและห่วงมณีจันทร์

“เมื่อสมัยก่อน วีรสตรีไทย ท่านก็เกณฑ์ผู้หญิงออกมาเผชิญหน้าทหารข้าศึกเพื่อรักษาเมือง เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิด คิดให้ได้อย่างนี้จะได้สบายใจนะขอรับ” หลวงอัครเทพปลอบ แต่คุณหญิงแสร์ไม่ชอบใจอยู่ดี

ooooooo

วันรุ่งขึ้น หลวงอัครเทพรีบเอาความลับที่มณีจันทร์ล้วงได้จากเมอร์ซิเออร์ปิแอร์ไปรายงานให้เจ้าคุณวิศาลคดีทราบ ท่านเจ้าคุณพอใจมาก จะเร่งเอาเรื่องนี้ ไปรายงานผู้ใหญ่อีกทอดหนึ่ง แล้วฝากหลวงอัครเทพไปขอบใจมณีจันทร์ให้ด้วยที่ทำงานได้ดีมาก...

ขณะเดียวกัน ที่เรือนหลวงอัครเทพ เมอร์ซิเออร์ปิแอร์ฟื้นขึ้นมาโดยจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือกำลังคุยอยู่กับมณีจันทร์ แล้วถามคุณหญิงแสร์ที่มาคอยต้อนรับขับสู้ว่ามณีจันทร์ไปไหน

“แม่มณีพักอยู่ เดี๋ยวก็คงหาย ไม่ต้องห่วง รับข้าวต้มรองท้องหน่อยไหม”

“เอ้อ...ไม่ดีกว่าขอรับ กระผมลาเลยดีกว่า ลาเลยนะขอรับ” เมอร์ซิเออร์ปิแอร์ค้อมหัวให้คุณหญิงแสร์ก่อนจะยิ้มหน้าเจื่อนกลับไป นึกสงสัยไปตลอดทางเมื่อวานตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง...



ขณะเดียวกัน ที่เรือนหลวงอัครเทพ เมอร์ซิเออร์ปิแอร์ฟื้นขึ้นมาโดยจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือกำลังคุยอยู่กับมณีจันทร์ แล้วถามคุณหญิงแสร์ที่มาคอยต้อนรับขับสู้ว่ามณีจันทร์ไปไหน

“แม่มณีพักอยู่ เดี๋ยวก็คงหาย ไม่ต้องห่วง รับข้าวต้มรองท้องหน่อยไหม”

“เอ้อ...ไม่ดีกว่าขอรับ กระผมลาเลยดีกว่า ลาเลยนะขอรับ” เมอร์ซิเออร์ปิแอร์ค้อมหัวให้คุณหญิงแสร์ก่อนจะยิ้มหน้าเจื่อนกลับไป นึกสงสัยไปตลอดทางเมื่อวานตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง...
ณ ภพปัจจุบัน กุลวรางค์เดินไปเดินมาสีหน้าครุ่นคิดถึงเรื่องมณีจันทร์อยู่ในบ้านของตัวเอง แล้วนึกถึงคุณย่าของเธอขึ้นมาได้เลยแวะไปเยี่ยม คุณย่าเห็นกุลวรางค์หน้าเศร้าๆถามว่าเป็นอะไรไป

“ห่วงเพื่อนน่ะค่ะ คุณย่าจำเมณี่ได้ไหมคะ เพื่อนของกุลที่เคยมาหาคุณย่า...เมณี่ที่ไปป้อมพระจุลด้วยกัน...เธอหายไปคะ สงสัยโดนคุณทวดของเราลักพาตัวไป” กุลวรางค์ พูดเล่นเรื่อยเปื่อย

“หือ?” คุณย่ามองงง

“ก็ท่านเจ้าคุณเทพ...ท่านเป็นทวดอะไรสักอย่างของเราใช่ไหมคะ...เมณี่น่ะหนีไปอยู่กับท่านเสียแล้ว”

ที่กุลวรางค์เรียกหลวงอัครเทพว่า ท่านเจ้าคุณอัครเทพ เพราะหลวงอัครเทพได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตไทยคนแรกประจำสหรัฐอเมริกา

อยู่ๆคุณย่าเหมือนจะจำอะไรขึ้นมาได้ ลุกพรวดจากเก้าอี้ “นึกออกแล้ว...พยุงทีๆ”

กุลวรางค์พยุงคุณย่ามาที่ตู้เก็บเอกสารหลายใบซึ่งตั้งอยู่ในห้องหนังสือตามที่ท่านบอก คุณย่าค้นตู้โน้นตู้นี้ให้ควั่ก กุลวรางค์จะช่วยหาให้ แต่คุณย่าเกิดนึกไม่ออกจะให้หาอะไร กุลวรางค์เกรงคุณย่าจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อน กวักมือเรียกเด็กรับใช้มากระซิบสั่งให้ไปเอาน้ำส้มละลายยานอนหลับที่หมอให้คุณย่ามาที

พลันคุณย่ากลับมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาซ้ำยังจำได้ว่าจะค้นหารูป กุลวรางค์อาสาจะหาให้เอง คุณย่าไม่ยอมยืนยันต้องหารูปใบนั้นให้เจอ กุลวรางค์ช่วยหาไปอย่างนั้น เพราะไม่รู้ว่ารูปอะไร จู่ๆคุณย่าก็โพล่งขึ้นว่า

“รูปคุณมณี”

“โอเคค่ะ รูปคุณมณี...เอ๊ะ...คุณย่าบอกว่าหารูปใครนะคะ” กุลวรางค์ถามซ้ำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“ไอ้เราก็นึกมาตั้งนานว่าเคยเห็นหน้าแบบนี้ที่ไหน วันนี้นึกออก ต้องรีบหา...หารูปคุณมณีน่ะ หาสิ”

กุลวรางค์ยืนงง ที่คุณย่าพูดหมายความว่าอย่างไรกันแน่...

ระหว่างที่กุลวรางค์กำลังงุนงงกับคำพูดของคุณย่าอยู่ในภพปัจจุบัน มณีจันทร์ซึ่งอยู่ในภพอดีต แต่งตัวสวยงามเพื่อเป็นแบบให้หลวงอัครเทพถ่ายรูป เธอเห็นกล้องถ่ายรูปใหญ่เทอะทะถามประชดนั่นใช่กล้องหรือ

“กล้องถ่ายรูป เอามาจากโน่น”

ข้างๆเก้าอี้ที่มณีจันทร์นั่งถ่ายรูปมีตุ๊กตาแมวนอนขดและตุ๊กตาสิงโตตั้งอยู่ ส่วนด้านหลังเป็นกระถางต้นไม้ หลวงอัครเทพคอยกำกับท่าทางให้เธออย่างขะมักเขม้น เพราะการถ่ายรูปในสมัยนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เขาเห็นเสื้อผ้ามณีจันทร์ไม่เข้าที่เข้าทาง เดินมาขยับให้ มณีจันทร์ยิ้มขำท่าทางจริงจังของเขา หันไปนินทากับม้วนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา หลวงอัครเทพ ไม่เคยจับเนื้อจับตัวเธอต่อหน้าคนอื่น สงสัยวันนี้ลืมตัว แล้วร้องถามขึ้นว่า

“คุณหลวงคะ...ไอ้ต้นไม้ข้างหลังพอเข้าใจล่ะ จะทำให้ดูเป็นป่า แต่ทำไมต้องมีแมวกะสิงโตด้วยคะ มันอยู่ป่าเดียวกันที่ไหน...สิงโตตัวนี้หน้าตาคล้ายสิงโตจีนมากกว่าแอฟริกา แมวนี่ก็แมวขี้เกียจ”

“สิงโตแปลว่ามีอำนาจ แมวแปลว่ารู้อยู่...หรืออยากจะได้ลิงเกาะบ่าแถมอีกตัว” หลวงอัครเทพแหย่

ขาบกับม้วนได้ยินคำว่า “ลิง” พร้อมใจกันร้องเพลง “ลิงจั๊กๆ...รักจริงๆ” ที่มณีจันทร์สอนให้เป็นที่ครื้นเครง มณีจันทร์นึกสนุกขยับจะสอนเต้นลีลาประกอบเพลงนี้ให้ด้วย หลวงอัครเทพโวยวายลั่น

“นี่...ลุกไม่ได้...สองคนนี้ก็เหมือนกัน ไม่ต้องเรียนทุกอย่างที่แม่มณีสอนหรอก” หลวงอัครเทพดุเสร็จ เข้าไปปรับกล้องถ่ายรูปวุ่นวาย มณีจันทร์ร้องถามเขาอีกว่าถ่ายรูปวันนี้จะได้ดูเมื่อไหร่

“ต้องส่งไปล้างที่ห้างโรเบิร์ตเลนส์...เอาล่ะ...นิ่งๆนะนิ่งๆ...สวย” หลวงอัครเทพสั่งเสร็จ กดชัตเตอร์...

รูปถ่ายของมณีจันทร์ที่หลวงอัครเทพเป็นคนถ่ายให้รูปนี้ คือรูปที่คุณย่าของกุลวรางค์ค้นเจอจากตู้เก็บเอกสารของท่าน แต่รูปถ่ายในมือคุณย่าเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเก่าไปตามกาลเวลา กุลวรางค์รับมาดูแล้วตกใจมาก ถึงกับพูดอะไรไม่ออก จ้องรูปถ่ายเขม็ง

“เหมือนไหม ย่าคิดเรื่องนี้มาตั้งเป็นเดือนแล้ว วันนี้เพิ่งคิดออกว่าหนูเมณี่หน้าเหมือนใคร...เป็นไง...เหมือนจริงๆ ใช่ไหม” คุณย่ายิ้มดีใจที่จำเรื่องนี้ได้ กุลวรางค์ตั้งสติได้ถามคุณย่าเคยเจอคุณมณีไหม คุณย่าเริ่มสับสนเหนื่อยอ่อนจากการยืนค้นหารูปถ่ายอยู่นานชักไม่แน่ใจเคยเจอหรือเปล่า กุลวรางค์ซักอีกว่า

“แล้วท่านเป็นอย่างไรบ้างคะ ในนี้เขียนว่า คุณหญิงมณีในเจ้าคุณอัครเทพวรากร แปลว่าท่านเป็นภริยาของท่านเจ้าคุณใช่ไหมคะ”

“อื้อ...มันต้องอย่างนี้สิ ท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงน่ะ... เอ๊ะ...ฉันจะพูดอะไรนะ...เอ...โอ๊ย...เจ็บขา” คุณย่ายืนนานเกินไป เข่าจะทรุด กุลวรางค์ต้องรีบเข้าไปประคองให้ลงนั่งคว้า ยาดมมายื่นให้ คุณย่าหอบเหนื่อย หมดเรี่ยวแรง โรคสมองเสื่อมกลับมาอีกครั้ง ลืมเรื่องที่จะเล่าหมดสิ้น ได้แต่นั่งดมยาดม

ooooooo

ในเวลาต่อมา ที่บ้านของมณีจันทร์ ขณะตรองกำลังวางแผนจะให้แหวนเพชรกุลวรางค์วิธีไหนดี กุลวรางค์โผล่พรวดเข้ามากอดเขาไว้ ร้องไห้สะอึกสะอื้นคิดถึงมณีจันทร์

“เมณี่...เมณี่อยู่ที่นั่นจริงๆด้วย...ดูรูปนี้สิ...เมณี่จะเป็นยังไงบ้าง...ยังอยู่ดีหรือเปล่า...ฉันคิดถึงเมณี่” กุลวรางค์ยื่นรูปถ่ายที่ได้จากคุณย่าของเธอให้ตรองดูทั้งน้ำตา ตรองพลิกดูหลังรูปถ่าย อ่านข้อความที่เขียนไว้

“คุณหญิงมณีในเจ้าคุณอัครเทพวรากร ทูตไทยประจำสหรัฐฯ...นี่รูปต้นตระกูลเมณี่หรือ”

“ไม่ใช่...ต้นตระกูลฉันต่างหาก ถ้าเมณี่อยู่ จับเธอแต่งตัวอย่างนี้ รับรองว่าเหมือน”

“ผมงงไปหมดแล้ว”

“ผู้ชายที่เมณี่ติดใจในภพโน้น คือท่านเจ้าคุณอัครเทพวรากร แล้วนี่ก็รูปภริยาของท่าน...คุณย่าจำได้ว่าเราเคยมีรูป แต่เพิ่งมานึกออกวันนี้ เมื่อเช้าฉันถามคุณย่าตั้งหลายอย่าง” กุลวรางค์พูดจบ เล่าเรื่องที่ไปพบคุณย่าของเธอให้ตรองฟังอย่างละเอียด ตรองถึงกับมึนตึบ

“นี่เรื่องจริงหรือนี่ หมายความว่าเมณี่ย้อนเวลาเข้าไปอยู่ในอดีตแล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้”

“นี่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญเลยนะ ดร.”

ตรองสีหน้าครุ่นคิด พลิกรูปในมือไปมา ก่อนจะสรุปว่าคงไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้ คนเราหน้าเหมือนกันได้ และรูปนี้ก็เก่ามากแล้ว เหลืองซีดไปหมด กุลวรางค์พยักหน้าเห็นด้วย

“อยากรู้จังตอนที่เมณี่ถ่าย ถ้าเป็นจริงอย่างที่เราคิดนะ ดร. เมณี่คิดอะไรอยู่ แล้วเธอยิ้มกับใคร”

“ข้อที่สำคัญมากกว่านั้น เราจะได้พบเมณี่อีกไหม” ตรองกับกุลวรางค์มองหน้ากันเศร้าๆ

ooooooo

ที่ศาลากลางสวน ภายในบริเวณบ้านอันกว้างใหญ่ของหลวงอัครเทพ มณีจันทร์รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูก วางมือจากงานแปลเอกสาร รีบขึ้นเรือนใหญ่ตรงไปยืนหน้ากระจกข้ามภพ ม้วนรีบตามมาติดๆถามเจ้านายสาวว่าผีกระจกเรียกอีกหรือ

“เปล่า...ทุกอย่างปกติ เพียงแต่วันนี้ใจคอฉันไม่ค่อยดี เหมือนทางโน้นจะมีอะไร...ทางโน้นมีอะไรหรือเปล่านะ” มณีจันทร์จ้องกระจกตรงหน้าไม่วางตาสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ...

มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นจริงในอีกฟากหนึ่งของกระจกข้ามภพอย่างที่มณีจันทร์สังหรณ์ใจ วันนี้คุณหญิงมาลิดาแม่ของเธอเดินทางกลับจากต่างประเทศ โดยมีกุลวรางค์ ตรอง ไรวัต นุ่ม และดาวมาคอยต้อนรับ ทันทีที่กุลวรางค์กับนุ่มเห็นหน้าคุณหญิงมาลิดาต่างโผเข้ากอดร้องไห้กันระงม นุ่มยกมือไหว้ขอโทษคุณท่านที่ดูแลมณีจันทร์ไม่ดี ปล่อยให้เธอหายไป แล้วทำท่าจะนั่งลงกราบ คุณหญิงมาลิดารีบพยุงนุ่มให้ลุกขึ้น

“ไม่เอาสิ อย่าโทษตัวเองอย่างนั้น เราทำงานด้วยกันมานานเป็นสิบๆปีแล้ว แม่นุ่มเป็นคนยังไงทำไมฉันจะไม่รู้ เรื่องในโลกนี้ บางอย่างเราก็บังคับไม่ได้” มาลิดาปลอบทุกคนด้วยท่าทางเข้มแข็ง แต่ในใจของเธอแทบจะร้องไห้ตามไปด้วย ยิ่งได้ฟังไรวัตรายงานว่าไม่พบร่องรอยของมณีจันทร์ทั้งที่ส่งตำรวจและเจ้าหน้าที่การข่าวไปสืบหา คุณหญิงมาลิดายิ่งเจ็บปวดใจเหลือเกิน

ตรองเห็นคุณหญิงมาลิดาท่าทางเพลียๆจากการเดินทาง แนะให้พักผ่อนก่อน ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องมณีจันทร์ พวกตนจะพยายามสืบหากันอย่างเต็มที่และจะไม่หยุดง่ายๆ คุณหญิงมาลิดาขอบใจทุกคนมากที่ช่วยเหลือ กุลวรางค์อาสาจะอยู่ค้างคืนเป็นเพื่อน คุณหญิงมาลิดาปฏิเสธว่าไม่ต้อง ตนอยู่คนเดียวได้

“งั้น พรุ่งนี้ผมจะพาตำรวจที่ดูแลคดีนี้โดยตรงมาคุยด้วยครับ”

“ขอบใจจ้ะไรวัต” คุณหญิงมาลิดายิ้มให้ทุกคน พยายามเก็บความรู้สึกปวดร้าวใจเอาไว้ภายใน...

หลังจากตรองกับไรวัตกลับไปแล้ว คุณหญิงมาลิดาชวนกุลวรางค์ขึ้นมาคุยกันต่อที่ห้องของเธอ

“ท่าทางคุณน้าเหนื่อยมาก” กุลวรางค์ทักด้วยความเป็นห่วง

“ครอบครัวของคุณน้าผู้ชายเป็นทูตมาหลายชั่วอายุคน ตลอดเวลาที่แต่งงานกันมา คุณน้าผู้ชายทำงานหนักมาก ที่ดีๆ

เขาไม่ส่งไปหรอก ส่งไปแต่ละที่มีแต่ปัญหา”

“เมณี่ภูมิใจในตัวพ่อและแม่ของตัวเองมาก เธออยากทำงานเพื่อชาติให้เก่งได้เหมือนพ่อและแม่”

อ่านละครทวิภพ ตอนที่ 15 วันที่ 8 กย.54
โดย บทประพันธ์ ทมยันตี
จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 โดย นันทวรรณ รุ่งวงศ์พาณิชย์
ที่มาไทยรัฐ

No comments:

Post a Comment

My Blog List